การอบรมมี 2 แนวใหญ่ๆ คือ แนว Training กับแนว Learning PDF พิมพ์ อีเมล
เขียนโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช   

การอบรมมี 2 แนวใหญ่ๆ คือ แนว Training กับแนว Learning

  • แนว Training มีสมมติฐานว่าพนักงานไม่มีความรู้ จึงให้ไปรับการอบรมหรือรับการถ่ายทอดความรู้ มักจะได้ความรู้เชิงทฤษฎีกลับมา
  • แนว Learning มีสมมติฐานว่าพนักงานมีความรู้อยู่แล้ว และสามารถเรียนรู้เพิ่มขึ้นได้ตลอดเวลาโดยการทำงาน จึงมุ่งจัดระบบงาน/บรรยากาศการทำงานให้เกิดการเรียนรู้ (KM) ได้ความรู้ปฏิบัติเป็นหลัก
  • ในความเป็นจริงต้องใช้ทั้งสองแนว โดยควรใช้แนว Training : Learning ด้วยสัดส่วน 10-20 : 80-90
  • องค์กรส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมด?) ยังลุ่มหลงวนเวียนอยู่กับภพภูมิ Training จึงไม่สามารถพัฒนาไปสู่ Learning Organization ได้
  • ภพภูมิ Training ขาดวิธีคิดที่เคารพความเป็นมนุษย์ ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยศักยภาพของมนุษย์
  • การพัฒนาบุคลากร ต้องเน้นการส่งเสริมให้บุคลากรร่วมกันพัฒนาตนเอง/พัฒนากันเอง ไม่ใช่เข้าไปพัฒนาเขา ไม่มีใครพัฒนาใครได้ การพัฒนาคนเป็นกระบวนการภายใน (internalization) หรือเรียนรู้/พัฒนา/เติบโต ออกมาจากภายใน ไม่สามารถเอาความรู้จากภายนอกยัดใส่ตัวหรือหัวสมองได้
  • กิจกรรมพัฒนาบุคลากรในหลายกรณีจึงน่าเบื่อหน่าย หรือก่อความเครียด หรืออาจสนุกสนาน แต่เมื่อจบกิจกรรมก็จบ ไม่เกิดการพัฒนาต่อเนื่องด้วยตนเอง ไม่เชื่อมโยงกับงาน
  • กิจกรรม พัฒนาบุคลากรที่ให้ความสุขความภาคภูมิใจไปพร้อมๆ กันทำได้โดยใช้ KM เริ่มด้วยการเอาความสำเร็จเล็กๆ มา ลปรร. กัน ในบรรยากาศชื่นชมยินดี บรรยากาศเชิงบวก และจดบันทึกไว้ เมื่อนำเทคนิควิธีทำงานดีๆ ไปลองประยุกต์ใช้ได้ผลอย่างไรก็นำมา ลปรร. กันอีก โดยใช้เทคนิค AAR
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

การฝึกอบรม (Training) เป็นแนวทางเก่าของการเรียนรู้ - Training Mode
แนวทางใหม่ คือการเรียนรู้ (Learning) - Learning Mode

  • องค์กรเรียนรู้ ต้องรู้จักแทนที่ Training Mode ด้วย Learning Mode ให้มากที่สุด
  • หน่วยงานที่ทำงานด้าน Training ควรหันมาสร้างทักษะในการเป็น "คุณอำนวย" ต่อ Learning
  • องค์กรที่หมกมุ่นอยู่แต่ Training Mode ไม่รู้จักใช้พลังของ Learning Mode จะไม่มีวันเป็นองค์กรเรียนรู้
  • ใน Training Mode พระเอก/นางเอก คือวิทยากร ซึ่งในหลายกรณี สอนความรู้ที่เอาไปปฏิบัติไม่ได้ เพราะวิทยากรก็ปฏิบัติไม่เป็น ไม่เคยปฏิบัติ สอนโดยการไปจำเขามา
  • ใน Learning Mode วิทยากรเป็นเพียง "คุณอำนวย" ผู้สอนและผู้เรียน (คนเดียวกัน) คือผู้ปฏิบัติ เน้นที่ความรู้ปฏิบัติ วิทยากรช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ และการตีความจากผลการปฏิบัติ
  • ใน Training Mode วิทยากรอ้างว่าเป็นผู้รู้ แสดงตนว่ามีความรู้ที่ตนบอกหรือสอน แม้ไม่รู้จริงก็ต้องแสดงท่าทาง หรืออ้าง ว่ารู้จริง วิทยากรจะมีความเครียดสูง เพราะจริงๆ แล้ว ตนไม่รู้จริง
  • ใน Learning Mode วิทยากร ทำตัวเป็น "ผู้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้" เป็นผู้กระตุ้น และอำนวยความสะดวกในการ ลปรร. ไม่พยายามอ้างตัวเป็นผู้รู้ หรือสารภาพเสียเลยว่าไม่ใช่ผู้รู้ เพราะผู้รู้จริงคือผู้ปฏิบัติ
  • ใน Training Mode วิทยากรทำหน้าที่ไป 2 - 3 ปี ความรู้ที่มีก็จะเก่า และกร่อน เพราะวิทยากรทำตัวเป็น "ผู้รู้" แต่นานไปจะกลายเป็น "ผู้ปกปิดความไม่รู้" แต่ใน Learning Mode วิทยากรยิ่งทำหน้าที่ไปนานก็ยิ่งเก่ง ความรู้ยิ่งทันสมัยและเพิ่มพูน เพราะวิทยากรเรียนรู้ไปพร้อมกันกับผู้ปฏิบัติ คือทำตัวเป็นทั้ง "ผู้ไม่รู้" และ "ผู้รู้" ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็คือ วิทยากรเป็น "ผู้เรียนรู้" ร่วมกับผู้ปฏิบัติ
วิจารณ์ พานิช
11 พย. 49 ปรับปรุง 17 พย. 49
 
เป็นแฟน สคส.
ติดตาม
คลิ๊ปวีดีโอ