สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
 
 

รายการ…ตามไปดู
กิจกรรมน่าสนใจจาก "Play & Learn Workshop"
   ตามไปดูบรรยากาศ >>

     ดิฉันได้มีโอกาสไปสังเกตการณ์การอบรมเรื่อง "Play & Learn Workshop" ที่สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 – 18 มีนาคม 2552 เพื่อเป็นการกระตุ้น ต่อยอด ให้บุคลากรที่เป็นแกนนำการดำเนินงานการจัดการความรู้ (KM) ของสถาบัน เข้าใจการทำ KM มากขึ้น สามารถนำ KM ไปปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับงานของแต่ละหน่วยงานย่อย ไม่ทิ้งความรู้ ทักษะดี ๆที่มีอยู่ในสถาบัน โดยมีทีมวิทยากรจากสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) คือ อาจารย์วรรณา เลิศวิจิตรจรัส เป็นผู้นำทีมมาด้วยตนเอง

     อาจารย์ได้นำกิจกรรมมาใช้ประกอบการบรรยาย ในรูปของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ซึ่งทำให้ผู้เข้าอบรมได้ทั้งความสนุก และได้ทั้งสาระ ให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้การทำ KM ผ่านการละเล่น และการทำกิจกรรม ซึ่งดิฉันคิดว่า นี่แหละคือ หัวใจสำคัญของ "Play & Learn Workshop"

     ก่อนอื่นขอเผยแพร่ประโยคเด็ดจาก CKO ของสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาก่อนนะค่ะ นายแพทย์นพดล วานิชฤดี หยอดคำพูดที่ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมรู้สึกหัวใจพองโตว่า
     "ทุกคนในเวทีนี้ต่างก็เป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อสถาบันฯ ทั้งผู้ที่มาจากงานบริการทางคลินิก ซึ่งงานที่ทำ จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิสัยทัศน์ พันธกิจของสถาบัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มาจากหน่วยงานที่เป็นหน่วยสนับสนุน(Back Office) ก็เป็นบุคลากรที่มีความสำคัญต่อสถาบันเช่นเดียวกัน เพราะถ้ามองแบบผิวเผิน อาจดูเหมือนว่าเป็นงานที่ไม่มีความสำคัญต่อสถาบันนัก แต่ถ้ามองกันอย่างลึกซึ้ง จะเห็นได้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว งานที่ทำก็จะเชื่อมโยงและส่งผลกับวิสัยทัศน์ พันธกิจของสถาบันเช่นกัน แม้จะเป็นแบบอ้อมๆก็ตาม ขอให้ทุกท่านเก็บเกี่ยวสาระสำคัญจากเวทีนี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสถาบันของเรา"


     ส่วนกิจกรรมจากวิทยากร ที่น่าสนใจมีดังนี้ค่ะ

     กิจกรรมที่ 1 เริ่มต้นด้วยวิทยากรสร้างบรรยากาศของความสนุกสนานแบบเล็ก ๆน้อย ๆ คือ ให้ทุกคนเลือกหยิบหมอนที่วางไว้ที่พื้น หลากหลายสี และหลากหลายลวดลาย ล้วนแล้วแต่น่ารักๆทั้งนั้น คนละหนึ่งใบ แต่มีข้อแม้ว่า แต่ละคนต้องดูแลหมอนที่เลือก ตลอด 3 วันของการอบรม และเมื่อจบการอบรม หมอนเหล่านี้ คือ รางวัลจากทีมผู้จัดการอบรม ที่แสนจะใจป้ำ ซื้อแจกแก่ทุกคนที่มาและตั้งใจอบรมตลอด 3 วัน (นี่คือ การนำขั้นตอนหนึ่งของ CMP คือ การยกย่อง ชมเชย และ การให้รางวัล มาใช้ในการทำงานอย่างชาญฉลาดของทีมผู้จัดการอบรมนั่นเอง)

     กิจกรรมที่ 2 เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เข้าอบรมได้รู้จักกับเครื่องมือชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในการจัดการความรู้ คือ BAR (Before Action Review) ทีมวิทยากรแจกกระดาษสีสันสวยงามรูปหัวใจแก่ผู้เข้าอบรมคนละ 1 แผ่น พร้อมทั้งให้เลือกสีเทียนคนละ 1 แท่ง ตามความพอใจของแต่ละคน หลังจากนั้นให้พับครึ่งกระดาษรูปหัวใจ ด้านซ้ายของกระดาษให้เขียนสิ่งที่แต่ละคนอยากได้ หรือมุ่งหวังให้เกิดขึ้นในช่วง3 วันของการอบรม สำหรับด้านขวาของกระดาษให้คิดว่า ถ้าจะบรรลุสิ่งที่แต่ละคนมุ่งหวังให้เกิดขึ้น ดังที่เขียนไว้ด้านซ้ายของกระดาษ แต่ละคนจะทำหรือไม่ทำ (Do & Don't)อะไรบ้าง ให้เขียนคนละ 2 ข้อ

ตัวอย่าง
ความคาดหวัง
สิ่งที่จะทำ
 
คือ อยากให้ทุกคนรู้ว่าการเรียนรู้ เป็น เรื่องสนุก
คือ จะไม่รับโทรศัพท์ขณะทำกิจกรรม ถ้าผู้เข้าอบรมขออะไร จะยินดีทำให้

    ต่อจากนั้น ให้ผู้เข้าอบรมบอกเล่าสิ่งที่เขียนแก่เพื่อนๆที่มาอบรมทีละคน เทคนิคที่วิทยากรนำการละเล่นมาสอดแทรกในกิจกรรมนี้ คือ ก่อนบอกเล่าสิ่งที่เขียน
ให้ทำ 3 สิ่ง ต่อไปนี้ คือ 1. บอกจุดเด่นของตัวเอง 2. บอกเอกลักษณ์ของตัวเอง และ 3. แสดงท่าประจำตัว

     จากกิจกรรมนี้ วิทยากรสรุปโดยสอดแทรกทฤษฏีตอนท้ายว่า "สิ่งที่ทุกคนเขียนในกระดาษรูปหัวใจก็คือ การทำ BAR (Before Action Review) นั่นเอง ซึ่งหมายถึง ก่อนที่เราจะทำอะไรสักอย่าง ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน และต้องมีการวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมายนั้น หลักสำคัญคือ เป็นสิ่งที่เราคิดทำเอง ไม่ใช่จากคนอื่นบอกให้ทำ" (ในความเห็นของดิฉัน เป้าหมายในที่นี้ เปรียบได้กับ หัวปลา หรือเป้าหมายของการจัดการความรู้ สิ่งที่จะทำ เปรียบเสมือน แผนการจัดการความรู้ สำหรับสิ่งที่เราคิดทำเอง เทียบได้กับ สิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานวิเคราะห์แล้วว่า เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เร่งด่วน ตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ พันธิกิจของสถาบัน หรือต่อความต้องการของบุคลากร)

บทสรุปกิจกรรม : ก่อนจัดการความรู้เรื่องอะไร ต้องทำ BAR ก่อน โดย
1. ตั้งเข็มทิศ / เป้าหมาย (ฉันอยากได้อะไร องค์กรต้องการอะไร สิ่งที่ต้องการให้บรรลุผลคืออะไร)
2. ก่อนที่บรรลุสิ่งนั้น ต้องทำอะไรบ้าง

ข้อคิดเตือนใจ
"เราอยากได้อะไร จากการทำ KM"
"ต้องคิดไว้เสมอว่า KM เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่ง"
"ผู้นำเครื่องมือ KM ไปใช้ ต้องรู้ว่า จะนำเครื่องมือนี้ไปใช้ทำอะไร"
"ต้องนำเครื่องมือ KM ไปประยุกต์ใช้ ให้เหมาะกับแต่ละคน แต่ละหน่วยงาน/ องค์กร"

     กิจกรรมที่ 3 มีชื่อว่า กิจกรรมกระจกสะท้อน เริ่มด้วย วิทยากรแจกกระดาษ A4 ให้ผู้เข้าอบรมคนละ 1 แผ่น ให้แต่ละคนวาดรูป เพื่อถ่ายทอดถึงสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิต ด้วยสีเทียนสีต่าง ๆ (เทคนิคที่วิทยากรใช้ ซึ่งช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด คือ การเปิดเพลงบรรเลงคลอไประหว่างทำกิจกรรม ซึ่งทำให้ดิฉันเห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้เข้าอบรม จนตัวเองก็รู้สึกผ่อนคลาย และแอบยิ้มตามไปด้วย) เมื่อทุกคนวาดรูปเสร็จ ก็ให้จับกันเป็นคู่ๆ สมมติว่าคนหนึ่งเป็น A และอีกคนหนึ่งเป็น B

รอบแรก

  • ให้ A เป็นคนเล่าให้ B ฟังว่า ภาพที่วาดคือภาพอะไร มีคุณค่าหรือมีความหมายต่อ A อย่างไร เป็นแรงผลักดันในชีวิตอย่างไร เช่น สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตต่อ A อย่างไร ขณะที่ B ฟัง A เล่าเรื่องราวจากภาพ ขอให้ B ทำตัวเสมือนเป็นกระจกรับเรื่องราวของเพื่อน รับรู้ถึงสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตของเพื่อนให้ได้มากที่สุด ด้วยการตั้งใจฟัง สบสายตาผู้เล่า ฟังด้วยสมอง และรับรู้ให้ได้ถึงความรู้สึกของผู้เล่า โดยไม่ต้องบันทึกสิ่งใด
  • เมื่อ A เล่าเรื่องจบ ให้ B บอกเล่าเรื่องราวนั้น หรือสะท้อนคุณค่าของเพื่อนกลับให้ A ฟังให้ได้มากที่สุด นั่นคือ A เล่ามาอย่างไร ให้ B บอกเล่ากลับให้ได้มากที่สุด โดยให้ A ฟังว่า B สะท้อนกลับเรื่องราวได้มากแค่ไหน
     

รอบสอง

  • ให้ B เล่าสิ่งที่ตัวเองให้คุณค่ามากที่สุดในชีวิตให้ A ฟัง หลังจากนั้นให้ A เป็นฝ่ายสะท้อนกลับเรื่องราวที่ได้รับฟังแก่ A
     

วิทยากรนำสู่การสรุปกิจกรรม โดย
     ให้ทุกคนสะท้อนความคิด ความรู้สึกของตัวเองที่ได้จากกิจกรรมนี้ (จุดเน้นคือ จับที่การเรียนรู้ จับที่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น) ทั้งในขณะที่สวมบทบาทเป็นคนเล่า คนฟัง หรือวาดรูป ยกตัวอย่างเช่น

  • ขณะเป็นผู้เล่าให้เพื่อนฟัง ตัวเองรู้สึกอย่างไร มีปฏิกิริยาอย่างไร และได้เรียนรู้อะไรบ้าง
  • ขณะเป็นผู้สะท้อนเรื่องราวกลับให้เพื่อนฟัง เราได้เรียนรู้อะไร
  • ระหว่างการสวมบทบาทการเป็นผู้เล่า และ บทบาทการเป็นผู้ฟัง อะไรยาก อะไรง่ายกว่ากัน
  • จากกิจกรรมนี้มีคู่ไหนที่รู้สึกว่า เราเข้าถึงคุณค่าของเพื่อนได้มากที่สุด เห็น/เข้าใจเพื่อน ลึกซึ้งกว่าเดิม
     

ตัวอย่าง เสียงสะท้อนของผู้เข้าอบรมจากการร่วมกิจกรรมนี้

บทบาทผู้เล่า
บทบาทผู้ฟัง / สะท้อน
  • อิสระ เล่าตรงไหนก็ได้
  • จะสื่อ/อธิบายภาพให้เพื่อนฟังได้อย่างไร
  • ต้องมีกลยุทธ์ในการเล่า
  • เขาจะเข้าใจเรามั้ย เราวาดนิดเดียว แต่ความหมายข้างในมากมาย
  • ต้องใช้สัญญลักษณ์ในการสื่อสาร
  • เล่าสะเปะสะปะ
  • เล่าได้เพียงบางส่วน
  • ต้องฟังเพื่อน ต้องจับประเด็น จับจุดสำคัญ
  • ต้องมีสมาธิ
  • แต่เวลาสะท้อนกลับอาจพูดไม่ได้เท่าผู้เล่า
  • มีการตีความ นึกเชื่อมโยงหรือผสมกับเรื่องราว / ประสบการณ์ในชีวิตของตัวเอง
  • สิ่งที่ได้ฟังจากเพื่อน เป็นเกร็ดความรู้ที่มีประโยชน์แก่ตัวเรา ได้ประโยชน์หลายอย่าง
  • นึกชื่นชมคนเล่า
  • ถ้าฟังดี จะจับประเด็นสำคัญได้ ซึ่งอาจใช้การจดบันทึกช่วย
  • รู้สึกว่าการได้ฟังคนอื่น เป็นกำไรของชีวิต
  • อะไรที่เป็นคำของผู้เล่าที่ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้ง เวลาเล่าเรื่องราวกลับ จะใช้คำของเขา เพื่อให้เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องราวของเขาอย่างแท้จริง เพราะคำ หรือประโยคนี้ ซ่อนอะไรอยู่ลึกๆ

     วิทยากรสรุปโดยสอดแทรกทฤษฏีตอนท้ายว่า กิจกรรมนี้ เป็นกิจกรรมสำหรับฝึกการเล่า ฝึกการฟัง ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ที่อาจเป็นอุปสรรคเริ่มต้นต่อการจัดการความรู้ นั่นคือ
     เวลาที่เราเล่าเรื่องราวให้คนอื่นฟัง เราอาจเล่าเพียงบางส่วน เพราะรู้สึกปลอดภัยที่จะเปิดเผยแค่นั้น ยกตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้ง เป็นต้น (ที่จริงคือ พื้นที่ของการอยู่ร่วมกันนั่นเอง)
     ดังนั้น เวลาทำชุมชนนักปฏิบัติ ซึ่งมีคุณกิจ หรือ นักปฏิบัติ หลายคนในวงสนทนานั้น ถ้าคุณอำนวยไม่สามารถสร้างบรรยากาศให้ทุกคนเปิดใจพูดคุยกันได้ จะเป็นอุปสรรคในการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ และย่อมหมายถึง เป็นอุปสรรคต่อการเริ่มต้นการจัดการความรู้นั่นเอง

บทสรุปจากกิจกรรม

บทบาทคุณอำนวย:
ทำให้คนในองค์กร รู้สึกว่า สามารถเปิดใจคุยหรือเล่าสิ่งต่างๆ ออกมา โดยไม่รู้สึกว่าถูกดดัน หรือ ไม่รู้สึกว่าจะเกิดผลเสียตามมา

บทบาทของผู้ฟังในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้:

  • จับประเด็นสำคัญ
  • ต้องรับรู้และเข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้เล่า
  • จดจำหรือบันทึกคำพูดบางคำพูดที่ฟังแล้วรู้สึกกินใจ เพราะคำพูดของผู้เล่าบางคำพูดซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่างอยู่เบื้องหลัง
  • ขณะฟังต้องค้นหาความรู้ฝังลึกที่อยู่ในตัวผู้เล่าด้วย
  • ต้องระวังที่จะไม่ปรุงแต่งเรื่องราวโดยใส่อารมณ์ ความรู้สึกของ ผู้ฟังเข้าไปในเรื่องราวของผู้เล่า
  • สิ่งสำคัญ คือ ฟังความรู้แล้วนำมาต่อยอด นำไปใช้ประโยชน

     กิจกรรมที่ 4 คือ กิจกรรมผ่อนพัก ตระหนักรู้ (Body Scan) เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่วิทยากรใช้หลักของการเรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมหรือการละเล่น ทำให้ดิฉันนึกไปถึงประโยคที่คุ้นหูดีในวัยเด็ก ที่ว่า เรียนหนักนัก เล่นหนักนัก ก็ให้พักผ่อนก่อน
    นั่นคือ ให้ทุกคนได้นอนพักภายหลังกินข้าวกลางวัน ปิดไฟ และเปิดเพลงบรรเลงคลอเบาๆ ทำให้ ผู้เข้าอบรมได้ผ่อนคลาย อารมณ์ ความรู้สึก สมอง อยู่นิ่ง ๆกับตัวเองสักช่วงหนึ่ง ได้ฝึกสติ ทำให้มีสมาธิก่อนจะเรียนกันต่อไป (อยากบอกว่า เป็นกิจกรรมที่ผู้เข้าอบรมทุกคนรวมทั้งตัวดิฉันเอง ชอบมากๆ)

     กิจกรรมที่ 5 มีชื่อว่า กิจกรรมผู้นำสี่ทิศ

ขั้นตอนการทำกิจกรรม มีดังนี้

  1. แบ่งกลุ่มย่อย
  2. แจกกระดาษสีขนาด A4 จำนวน 4 แผ่นให้แต่ละกลุ่มย่อย โดยกระดาษแต่ละแผ่นจะเป็นการบรรยายลักษณะของผู้นำ 4 แบบ โดยเปรียบเทียบกับลักษณะของสัตว์ 4 ชนิด คือ เหยี่ยว หมี กระทิง และหนู
        ยกตัวอย่าง
    เหยี่ยว:
    หมี:
    หนู:
    กระทิง:

    ลักษณะเป็นคนชอบทำโครงการใหม่ๆ แต่ทำแล้วไม่ค่อยสำเร็จ
    เป็นคนละเอียดรอบคอบ
    ขี้สงสาร เห็นใจคน
    ลุยงาน สู้งาน ค่อนข้างดุ และเผด็จการ


  3. ให้แต่ละคนในกลุ่มอ่านข้อความในกระดาษ A4 แล้วเลือกว่าลักษณะของผู้นำ 4 ประเภท ประเภทไหนตรงกับตัวผู้เข้าอบรมมากที่สุด (จุดเน้นคือ ให้ทุกคนถอดหมวกของตำแหน่งหน้าที่การงานออก แล้วค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เป็นสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเป็น)
  4. ให้บอกเล่าสิ่งที่ตัวเองเลือกให้เพื่อนฟังทีละคน โดยต้องยกเหตุการณ์ประกอบการเล่าเรื่อง
  5. หลังจากทุกคนเล่าเรื่องเสร็จ วิทยากรให้จัดกลุ่มย่อยใหม่ตามประเภทชื่อสัตว์
  6. ให้แต่ละคนพับครึ่งกระดาษ A4 แล้วเขียนจุดดี และจุดอ่อนของตัวเองที่ต้องปรับปรุงลงไปในกระดาษอย่างละ 3 ข้อ
  7. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยให้แต่ละคนเล่าให้เพื่อนฟังว่าจุดดีที่เราเลือกคืออะไร จุดที่ต้องปรับปรุงคืออะไร สิ่งเหล่านี้ส่งผลดี ผลเสียต่อชีวิตอย่างไร ทำไมถึงอยากปรับปรุงสิ่งนั้น เคยลองปรับมั้ย ถ้าเคย ทำอย่างไร

     กิจกรรมที่ 6 กิจกรรมโยนไข่ (เป็นกิจกรรมต่อเนื่องจากกิจกรรมผู้นำสี่ทิศ) วิทยากรให้แต่ละกลุ่มย่อยซึ่งจัดกลุ่มตามประเภทสัตว์ เอาอุปกรณ์ที่แจกให้จำนวน 1 ถุง(ประกอบด้วย กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษทิชชู หลอดยาว ดินน้ำมัน กระดาษกาว ไม้จิ้มฟัน เชือก และกรรไกร) หุ้มไข่ 3 ฟองเอาไว้ และเมื่อนำไข่แต่ละฟองไปโยนจากความสูงประมาณ 2 เมตร แล้วไข่จะไม่ตกไปแตก
     บทสรุปจากกิจกรรม ในชุมชนนักปฏิบัติ หรือ ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผู้ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้(คุณกิจ) จะมีหลากหลายประเภท เช่น คุณกิจที่ใจร้อน ชอบลุย ชอบแสดงภาวะผู้นำ ชอบพูดคำแรง ๆ ชอบพูดตรง ๆ หรือ คุณกิจที่ขี้เกรงใจ คุณอำนวยจึงควรให้ความเข้าใจและมีวิธีการในการกระตุ้น แนะนำ ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวงสนทนามากที่สุด

บทสรุปจากกิจกรรม

บทบาทคุณอำนวย :

  • ต้องรู้จักตนเอง สามารถปรับตัว เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่น
  • สร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
  • อำนวยหรือกระตุ้นให้ผู้ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้เรียนรู้ด้วยตัวเขาเอง เช่น พี่ลองเล่าหน่อยซิ
  • แนะนำ เช่น พี่ลองคิดในมุมนี้หน่อยมั้ย
  • กระตุ้นให้ค้นหาความรู้ฝังลึก

ข้อคิดเตือนใจ : ผู้ที่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีหลากหลายรูปแบบ หลายลักษณะ กล่าวได้ว่า หน้าที่ของคุณอำนวยไม่ใช่แค่การเอาคนมาเข้ากลุ่ม แล้วเล่าเรื่อง จดบันทึก แต่บทบาทสำคัญของผู้ที่ทำหน้าที่เป็นคุณอำนวยด้านการจัดการความรู้ (Facilitator) มีมากกว่านั้น คือ การกระตุ้นให้คนอยากทำ อยากลอง อยากพัฒนา

     กิจกรรมที่ 7 การจับกลุ่มฝึกทำชุมชนนักปฏิบัติ CoP

  1. วิทยากรแจกกระดาษสี ให้ทุกคนคิดประเด็นหรือหัวปลาที่จะจัดการความรู้คนละ 1 เรื่อง
  2. นำประเด็นหรือหัวปลาของแต่ละคนมาเรียงกัน เลือกเพียง 1 ประเด็น หลักในการเลือกคือ เป็นประเด็นที่มีคนอยากรู้ อยากเรียนรู้ มีคนอยากให้ มีคนอยากเล่า มีคนอยากฟัง ประเด็นไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป โดยให้เขียนเป็นลักษณะความสำเร็จ(เพราะหมายถึง การสามารถก้าวข้ามปัญหานั้นไปได้)

         ตัวอย่างประเด็น หรือ หัวปลาในการพูดคุยที่วิทยากรใจดี ยกเป็นตัวอย่างได้แก่ เทคนิคการเจรจรต่อรองที่ได้ผล ความสำเร็จในการทำงานกับลูกน้องที่มีความมั่นใจสูง การตั้งโปรโมชั่นในการขาย
         ประเด็นหรือหัวปลาในการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ได้จากเวทีนี้ มีดังนี้

    • การดูแลรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เริ่มต้น
    • ทำอย่างไรไม่ให้เป็นคนขี้ลืม
    • เทคนิคในการพูดคุยเมื่อผู้ป่วยต้องการเปลี่ยนแพทย์ที่รักษา
    • การพัฒนาระบบเครือข่ายกับหน่วยงานต่างสถาบัน
    • ทักษะในการโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำตาม
    • เทคนิคการทำงานอย่างมีความสุข
    • เทคนิคการต้มปลาทูให้อร่อย
    • เป็นโสดอย่างไรให้มีความสุข
  3. ให้ทุกคนมาช่วยกันดู แล้วช่วยกันจัดหมวดหมู่เรื่องที่คล้ายกัน เช่น หมวดเรื่องงาน เรื่องชีวิต เรื่องอาหาร (เมื่อแบ่งเสร็จ ถามแนวคิดว่าจัดตามอะไร)
  4. แบ่งกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มเลือก 1 หัวปลา เพื่อนำมาแลกปลี่ยนเรียนรู้กันในกลุ่ม ผ่านทางเรื่องเล่าเร้าพลัง แล้วสกัดออกมาเป็นคลังความรู้ (อาจใช้วิธีหยิบหัวปลาแล้วหากลุ่มให้ได้กลุ่มละหลาย ๆคน โดยคนในกลุ่มต้องมีประสบการณ์ในเรื่องนั้น เช่น หัวปลา "เทคนิคการลดความอ้วน" ก็ต้องมีบางคนในกลุ่มที่เคยมีประสบการณ์ลดความอ้วนสำเร็จมาก่อน)
  5. ให้แต่ละกลุ่มนำเสนอฐานข้อมูลหรือฐานความรู้
  6. เล่ากระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่ม ว่าเริ่มต้นอย่างไร วิธีคุยทำอย่างไร ทำอย่างไรจนออกมาเป็นฐานข้อมูลหรือฐานความรู้
  7. เปิดโอกาสให้ซักถามสิ่งที่สงสัย ไม่เข้าใจ ไม่แน่ใจ

บทบาทหน้าที่ของคุณอำนวย

  • เชื่อมคุณเอื้อ หรือ เชื่อมคุณกิจเข้าหากัน
  • ชวนคนมาเข้ากลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้
  • ต้องตาไว ว่าเรื่องนี้มีคนแก้ได้มั้ย
  • หา / สร้างประเด็นหรือหัวปลาในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หลัก คือ ต้องเป็นประเด็นหรือหัวปลาที่มีคนอยากมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
  • ไม่อยู่นิ่งๆ นั่งเขียนแผนอย่างเดียว บางหัวปลาคิดเองว่าดี แต่คนในองค์กรอาจยังรู้สึกว่ายังไม่พร้อม เราก็ต้องไปกระตุ้น
  • สร้างความพร้อมก่อน แล้วค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปในเนื้องาน แต่ควรเป็นงานที่คนในองค์กรอยากทำ
  • สร้างบรรยากาศเป็นกันเอง สนุกสนาน
  • ชวนพูดชวนคุย
  • กระตุ้นให้ผู้เล่า เล่าเรื่องตามข้อเท็จจริง ไม่ตีความ
  • คุมให้อยู่ในประเด็นเป้าหมาย ไม่นอกเรื่อง
  • ไม่ชี้นำ หรือตัดสิน
  • เปิดโอกาสให้ทุกๆ คนได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และได้เรียนรู้
  • สิ่งสำคัญคือ กระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติมีการนำความรู้ไปใช

เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่นำมาฝากสำหรับคุณอำนวย

     การกระตุ้นให้ผู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เห็นว่าหัวปลามีความสำคัญกับงาน กับองค์กร อาจสร้างบรรยากาศโดยจัดความรู้ในประเด็นหรือหัวปลาง่ายๆก่อน โดยเราก็ไม่ทิ้งหัวปลาที่สำคัญต่องาน

ข้อพึงระวังสำหรับคุณอำนวยมือใหม่

     การตั้งหัวเรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องอ่อนไหว (Sensitive) จึงต้องดูว่าเป็นหัวเรื่องที่ทุกคนพูดคุยได้มากน้อยแค่ไหน


บทบาทหน้าที่ของคุณกิจ

  • เปิดหู รับฟังเรื่องเล่าของผู้อื่น โดยไม่ด่วนตำหนิหรือตัดสิน
  • เปิดตา มองให้เห็นภาพ อารมณ์ ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องเล่าของผู้อื่น
  • เปิดปาก เล่าสิ่งที่ต้องการสื่อให้ผู้อื่นฟัง
  • เปิดใจ ค้นหาว่าอะไรที่ทำให้ผลออกมาเป็นเช่นนั้น
  • ถอดความรู้ ออกมาเป็นคลังความรู้ด้วย(Knowledge Asset หรือ KA)

บทบาทหน้าที่ของคุณลิขิต

  • บันทึกเรื่องเล่าตามความเป็นจริง ไม่ต่อเติมเสริมแต่งด้วยความคิดตัวเอง
  • รักษาสำนวนเดิม
  • สบตาคุณอำนวยว่าช่วงนี้จดไม่ทัน
  • วางแผนในการเก็บคลังความรู้ เช่น เป็นผู้เชี่ยวชาญ รู้ว่าถ้าไปถอดความรู้ด้วยการบันทึกจะจดไม่ทัน อาจใช้การอัดเสียง หาเพื่อนช่วยจด อัดวิดิโอ
  • การออกแบบการสร้างคลังความรู้ เช่น ทำเป็น Mind Map

      เรื่องเล่าควรประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน

  • ในเรื่องเล่ามีบริบท
  • จากเรื่องเล่าของเขา เราได้เรียนรู้อะไร
  • อ้างอิง (เผื่อมีอะไรตกหล่น)

     ชาว KM กรมสุขภาพจิตและผู้สนใจทุกท่าน อ่านแล้ว ชอบกิจกรรมใด เอาไปใช้ได้เลยนะค่ะ หรือจะคิดต่อยอดก็ได้ค่ะ

 

เขียนและเรียบเรียงโดย
ภัคนพิน กิตติรักษนนท์
กำกับดูแลโดย
อมรากุล อินโอชานนท์
สำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต


สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
อาคาร เอส เอ็ม ชั้น 23 เลขที่ 979 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทร. 02-298-0664-8, 082-102-5810 โทรสาร. 02-298-0057 email:
Copyright ©  Knowledge Management Institute (KMI)   All Rights Reserved